ในช่วงวันหยุดนี้ หลายคนก็ไปพักผ่อนต่างจังหวัด บางคนไปทำบุญที่วัด แต่หลายคนก็ใช้โอกาสวันหยุดยาวเช่นนี้สะสางงานที่คั่งค้าง ผู้เขียนก็เช่นกัน ถือโอกาสหาที่นั่งทำงานนอกออฟฟิสบ้าง
ถ้าเดาได้สถานที่นั่งทำงานที่น่าสนใจที่สุดคือร้านกาแฟ และแน่นอนต้องไม่ใช่ร้านไก่การาคา 30 บาทแน่นอน
จากประสบการณ์ส่วนตัว ร้านที่เข้าข่ายน่านั่งนานๆจะต้องมีสไตล์ มีปลั๊กให้เสียบคอมพิวเตอร์ได้ มีไวไฟ (ไม่เกี่ยงว่าฟรีหรือเสียตังค์) ร้านเหล่านี้ราคาไม่ธรรมดาน่ะค่ะ กาแฟร้อนเริ่มต้นตั้งแต่ 70 บาทไปจนถึงประเภทฟรัปเป้หรือปั่น ราคาเหยียบ 120 บาท ส่วนเบเกอรี่ไม่ต่ำกว่า 70 บาทแน่นอน ขอให้แอร์เย็น เฟอร์นิเจอร์นั่งสบาย รับรองนั่งกันยาวเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนคนกรุงเทพฯจะไม่ค่อยเกี่ยงเรื่องราคา เห็นทีไรคนนั่งเต็มร้านทุกทีโดยเฉพาะวันหยุด แสดงว่าราคาไม่ใช่ประเด็นสำคัญหลัก ทีนี้ลองมาวิเคราะห์ดูว่าอะไรเป็นจุดดึงดูดใจ
เมื่อคนอยู่คอนโดมากขึ้น ก็อยากมีที่นั่งกว้างขวาง มีเพื่อนๆ(ที่ไม่รู้จัก)นั่งเป็นพวกกัน ไม่เหงาดี
จากที่สอบถามกับเพื่อนๆลูกค้าร้านกาแฟบอกว่าอยู่บ้านเปลืองไฟ เปลืองแอร์ ไปนั่งร้านกาแฟดีกว่า
บรรยากาศส่วนมากจะเป็นร้านที่ครึ้มๆ จะด้วยเปิดไฟน้อย หรือเพราะต้นไม้เยอะก็ตาม ทำให้รู้สึกอบอุ่น บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน คนที่มานั่งก็ไม่ต้องแต่งตัวหรูมาก เอาแค่เหมือนชุดอยู่บ้านแต่ขอมีสไตล์และมียี่ห้อยิ่งดี แม้แต่รองเท้าแตะก็คู่ละหลายพัน
เมื่อกาแฟมีราคาใกล้เคียงกัน คือว่ากันตั้งแต่เป็นร้อยขึ้นไป แล้วยังมีอะไรอีกหล่ะที่ลูกค้าคาดหวัง ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์ต่างชาติแบบพี่ตาบั๊คก็ได้ แต่ขอให้มีธีม มีคอนเซ็ปต์ นั่งแล้วมีคนมองน่าชื่นชม
แสดงว่าร้านกาแฟขายไลฟ์สไตล์ด้วยสิน่ะ ไม่ได้ขายแต่กาแฟเท่านั้น คนมานั่งร้านกาแฟเป็นการแสดง status ทางสังคมด้วยน่ะเนี่ย
บางร้านมีประกาศนียบัตรแสดงสถาบันอาหารที่เจ้าของร้านเรียนจบมาก็ยิ่งดี ยิ่งเป็นพี่ดอนเบลอร์แล้วยิ่งมีสง่าราศรี ได้ราคามากขึ้นไปอีก การมีกิมมิคหรือรายการพิเศษแต่ละวันก็เป็นจุดขายที่น่าสนใจ เช่นอาจมีกาแฟสูตรเฉพาะตัวของร้าน หรืออาหารจานพิเศษ เป็นต้น
ผู้อ่านคิดว่ายังมีประเด็นอะไรอีกที่น่าสนใจสำหรับการทำร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จ ลองมาแชร์กันดูค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ฉันมีความเห็นว่า...