11 มิถุนายน 2554

การท่องเที่ยวในรูปแบบที่นึกไม่ถึง

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการท่องเที่ยวเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวสารอย่างมาก หากการเมืองมีความมั่นคง การเงินของประชาชนมีสภาพคล่องดี สังคมมีความสุข อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะมีความคึกคักอย่างมาก แต่หากการเมืองไม่มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจของประเทศไม่มีความมั่นคง และประชาชนมีความกังวลต่อความเป็นอยู่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะซบเซาได้อย่างกระทันหันทีเดียว
หากผู้อ่านได้ติดตามข่าวสารงานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยวประเภทงานไทยเที่ยวไทย ที่บริษัททัวร์ และโรงแรมต่างๆมาออกร้านเพื่อจำหน่ายแพคเกจทัวร์และห้องพักของโรงแรมในราคาถูก จะพบว่าแต่ละงานจะแข่งกันลดราคา หรือเพิ่มข้อเสนอพิเศษมากขึ้นเรื่อยๆ หากมองในแง่ผู้บริโภคก็อาจจะรู้สึกดีที่ได้ซื้อสินค้าและบริการในราคาที่ถูกลง แต่หากมองในเชิงธุรกิจ การลดราคาเพื่อแย่งลูกค้ากันกลับเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
หากเราลองหาแนวคิดในการท่องเที่ยวใหม่ๆที่แตกต่างจากรูปแบบเดิมๆเพื่อดึงดูดใจลูกค้าก็อาจจะดีกว่าการใช้ราคาเป็นเครื่องล่อใจ
ผจญภัยบนยอดไม้ความสูงกว่า 50 เมตร

การท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ (Nature Based Tourism)  
  • ·       การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) เป็นชื่อที่คุ้นหู และได้รับการรณรงค์มาอย่างต่อเนื่อง เป็นการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และยังดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม
  • ·       การท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเล (Marine Ecotourism) คล้ายกับแบบแรก แต่เน้นแหล่งธรรมชาติทางทะเลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นรวมทั้งระบบนิเวศทางทะเลด้วย เช่น ป่าโกงกาง หมู่บ้านชาวเล เที่ยวชมที่อยู่ของปลาวาฬ  
  • ·       การท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา (Geotourism) เป็นการท่องเที่ยวเพื่อดูความงามของภูมิทัศน์ที่มีความแปลกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก เช่น อุโมงค์ ถ้ำบนหน้าผา ถ้ำน้ำลอด ถ้ำหินงอกหินย้อย ฟอสซิล รวมทั้งศึกษาธรรมชาติของหิน ดิน แร่ เป็นต้น
  • ·       การท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism) คือการเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่เกษตรกรรม สวนเกษตร วนเกษตร สวนสมุนไพร ฟาร์มปศุสัตว์และเลี้ยงสัตว์ อาจเข้าชมเพื่อความรื่นรมย์ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ใหม่ก็ได้ เช่น ชมทุ่งดอกทานตะวัน ป้อนอาหารแกะ รีดนมวัน เป็นต้น
เที่ยวชมวิถีชาวบ้าน ร่วมกิจวัตรประจำวันของท้องถิ่น

 การท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม (Cultural Based Tourism)  
  • ·       การท่องเที่ยวเพื่อชมวัฒนธรรมและประเพณี (Cultural and Tradition Tourism) อาจไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเรามีประเพณีหลากหลาย เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ แต่ควรส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ หรือประชาสัมพันธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ กระตุ้นให้คนมาสัมผัสด้วยตนเองสักครั้ง
  • ·       การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (Historical tourism) คือการเดินทางไปเที่ยวยังโบราณสถาน ไปชมโบราณวัตถุ
  • ·       การท่องเที่ยวชนบท (Rural tourism) เป็นการเดินทางท่องเที่ยวในหมู่บ้านชนบทที่กำลังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนบทในแถบภาคเหนือ สิ่งดึงดูดใจคือวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ในรูปแบบที่เรียบง่ายและมีความสุข รูปแบบการท่องเที่ยวที่คล้ายกัน คือ
  • ·       การท่องเที่ยวชนกลุ่มน้อย (Ethnic tourism) เพื่อการเรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นมา และวิถีชีวิตเฉพาะกลุ่ม  

รูปแบบการท่องเที่ยวที่แนะนำ   
นอกเหนือจากรูปแบบการท่องเที่ยวที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีสำหรับพื้นที่ต่างๆในประเทศไทย เช่น
  • ·       การท่องเที่ยวเชิงศาสนา (Meditation Tourism) เป็นการเดินทางมาเพื่อศึกษาศาสนาหรือลัทธิต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการฝึกจิต ปฏิบัติธรรม ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในศาสนสถาน เช่น วัด สำนักสงฆ์ และที่ใช้รีสอร์ทเป็นสถานที่จัดอบรม
  • ·       การท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ (Slow Tourism) เป็นการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า ให้ความสำคัญกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การปรุงอาหาร-การรับประทานอาหารแบบละเมียดละไม การใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ อาจตัดการสื่อสารโดยใช้เทคโนโลยีออกไป เรียกว่าเป็นการพักผ่อนแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นรูปแบบที่กำลัง “มาแรง” จนมีการพัฒนา Slow Hotel และ Slow Package ออกมาให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการ 
  • ·       การท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ (Health Tourism) เช่น การล้างพิษ การรับประทานอาหารดิบๆตามธรรมชาติ (Raw Food) การฝึกโยคะ การงดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสมบูรณ์ทางกายและใจ ซึ่งอาจมีการให้บริการสปาร่วมด้วย  
  • ·       การท่องเที่ยวแบบบำเพ็ญประโยชน์ (Voluntourism) คนจำนวนมากมักมีความสับสนว่าหากจะจ่ายเงินไปเที่ยวแล้วยังต้องไปทำงานอาสาสมัครอีกหรือ ความจริงการเดินทางเพื่อไปบำเพ็ญประโยชน์นี้มีมาหลายปีแล้วแต่จำกัดอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ต่อมาแนวคิดนี้ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโดยมีพื้นฐานความคิดว่าหากการไปเที่ยวแต่ละครั้งนอกจากจะเป็นการพักผ่อนแล้วหากสามารถเปิดโลกทัศน์และสร้างความดีได้ด้วยก็น่าจะดีไม่น้อย รูปแบบที่นิยม ได้แก่การไปปลูกป่า การทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ การสอนภาษาอังกฤษ การสร้างโรงเรียนหรือบูรณะซ่อมแซมสถานศึกษาให้กับเด็กที่ด้อยโอกาส การเดินทางนี้อาจมีกิจกรรมร่วมกับการศึกษาศิลปวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่การศึกษาธรรมชาติ ก็ได้เช่นกัน
  • ·       การเดินทางตามรอยภาพยนต์ หรือเพลงที่กำลังได้รับความนิยม เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่องดัง ซึ่งอาจจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ หรืออาจเป็นเมืองใหญ่ทั้งเมืองและมีสถานที่ที่เป็นฉากสำคัญในเรื่องที่ต้องไปดูให้เห็นกับตาตนเองให้ได้ หรืออาจเป็นสถานที่ๆเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้แต่งเพลงสามารถแต่งเพลงจนดังได้ เป็นต้น  
  • ·       นอกจากนี้ยังมีแนวคิดการท่องเที่ยวที่เหลือเชื่อ เป็นการท่องเที่ยวในมุมมืดซึ่งมีผู้สนใจร่วมกิจกรรมด้วย เช่น การท่องเที่ยวในสถานที่เคยเป็นสมรภูมิรบ สถานที่เคยเกิดโศกนาฏกรรม เช่น Ground Zero บริเวณที่เคยเกิดเหตุการณ์911 บริเวณที่เกิดสึนามิ ค่ายกักกันนักโทษ เป็นต้น 


การนำเสนอรูปแบบทางการท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ น่าจะเป็นหนทางในการสร้างสีสันให้กับการท่องเที่ยวได้ดีกว่าการลดแลกแจกแถม หากผู้ประกอบกิจการลองนำไปใช้ในการดึงดูดใจลูกค้าดู อาจได้ผลตอบรับที่ดีกว่าแบบเดิมๆที่ทำกันอยู่ 

3 มิถุนายน 2554

นำเสนอ หรือ รอสนอง

อุปนิสัยสะท้อนตัวตน

          เมื่อกล่าวถึง “อุปนิสัย” เชื่อว่าเป็นที่เข้าใจกันดีว่าหมายถึงการกระทำที่ทำจนเป็นความเคยชิน แต่หลายคนคิดว่าเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือซึมซับไปโดยอัติโนมัติ โดยอาจไม่ได้เฉลียวใจว่า “อุปนิสัย” เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้  
          อุปนิสัยเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ เป็นการกระทำที่สะท้อนตัวตนให้ผู้อื่นทราบว่าเราเป็นอย่างไร ในขณะเดียวกันก็เป็นการกำหนดกรอบความคิดของคนๆนั้นด้วย
           Pro-Active เป็นอุปนิสัยแรกที่ สตีเว่น โควีย์กล่าวไว้ในเรื่อง 7 อุปนิสัยของผู้ทรงประสิทธิภาพยิ่ง ในที่นี้ขอเรียก Pro-Active ในภาษาไทยว่าเป็นการ นำเสนอมากกว่ารอสนอง มีความหมายลึกซึ้งมากกว่า “การกระทำเชิงรุก” เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างนิสัยอื่นๆในชีวิต หลายคนอาจคุ้นเคยกับการรับคำสั่ง ทำตามคำบอก หรือรอให้เรียกจึงตอบสนอง ซึ่งเป็นการซึมซับจากวิธีการเรียนการสอนในวัยเด็ก จนเมื่อโตขึ้นในวัยทำงานก็มักจะนั่งรอคำสั่ง หรือทำตามนโยบาย ไม่ต้องแสดงความเห็นใดๆ กลายเป็นบุคลิกภาพที่นอบน้อมตอบสนองกันเป็นส่วนใหญ่ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการแสดงความคิดเห็น หรือการนำเสนอไอเดียต่างๆจะทำให้เพื่อนหมั่นไส้ หรือกลัวว่าเป็นการทำเอาหน้า ที่ร้ายที่สุดคือกลัวว่าหากเป็นคนเสนอก็ต้องเป็นคนทำ กลัวว่าจะต้องเหนื่อยจึงเป็นฝ่ายรอสนองมากกว่านำเสนอ
          การเป็นคนพันธุ์ Pro-Active สามารถฝึกกันกันได้ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนมีติดตัวมาแต่กำเนิด คนที่มีอุปนิสัย “นำเสนอมากกว่ารอสนอง” เป็นคนที่เชื่อว่าเราเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของตนเองได้ เราเป็นผู้บังคับบัญชาชีวิตเราเอง เรามีสิทธิเลือกทัศนคติให้เป็นบวกได้ เราสามารถจะมีความสุขหรือความทุกข์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เมื่อจะตัดสินใจในเรื่องใดๆก็ตาม คนเหล่านี้จะตัดสินบนรากฐานของค่านิยม (value) คิดก่อนทำ ถึงแม้จะตระหนักว่าไม่อาจควบคุมเงื่อนไขต่างๆได้ทั้งหมด แต่ควบคุมการกระทำของตัวเองได้ เป็นคนที่รับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง เชื่ออย่างจริงจังว่าพฤติกรรมของเราเป็นผลมาจากการตัดสินใจอย่างมีสติของเรา และรับผิดชอบต่อพฤติกรรมที่แสดงออกอย่างเต็มใจ ไม่ป้ายความผิดไปยังสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม
          ตัวอย่างการมีนิสัย Pro-Active เช่น กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อ่านหนังสือในบทที่จะเรียนก่อนที่จะมาเข้าเรียน เมื่อสงสัยก็ให้สอบถามหรือค้นคว้าเพิ่มทันที สนใจในข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ในที่ประชุมสามารถเสนอความคิดเห็นเพื่อให้กิจกรรมหรืองานต่างๆได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น การนำเสนอบริการหรือให้ความช่วยเหลือผู้ที่มาติดต่อโดยที่เขาไม่ได้เอ่ยปากร้องขอ ในเรื่องส่วนตัวเช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ไม่กลัวที่จะต้องทำงานหนัก การเอื้ออาทรต่อผู้ด้อยโอกาส การบำเพ็ญประโยชน์ หรือแม้แต่การมีจิตอาสา ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในกลุ่ม “นำเสนอมากกว่ารอสนอง” ทั้งสิ้น
          เมื่อฝึกฝนจนเป็นอุปนิสัยประจำตัวได้แล้ว คุณูปการที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนพันธุ์ Pro-Active จะมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ไม่สะเทือนใจง่าย กระตือรือร้นในชีวิต ทำงานเสร็จก่อนเวลากำหนด ให้ความสนใจกับเรื่องที่แก้ไขได้และไม่กังวลกับเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีระเบียบวินัย มีความสุข อารมณ์ดี ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลทางอารมณ์และความคิดของคนอื่น
เป็นที่แน่ชัดว่า Pro-Active  หรือ “การนำเสนอมากกว่ารอสนอง” เป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดชะตาชีวิตของเรา คนที่รักความก้าวหน้าจะต้องฝึกให้เป็นความเคยชิน ให้อุปนิสัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความคิด บุคลิกภาพและการดำเนินชีวิตประจำวันให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์และความสุขของเรานั่นเอง

2 มิถุนายน 2554

แปลงบ้านมาเป็นโรงแรม (ภาค 2)

ครั้งที่แล้วเกริ่นถึงการนำบ้านพักมาเป็นโรงแรมโดยเป็นการแบ่งห้องให้นักท่องเที่ยวเช่าหรือให้เช่าทั้งหลัง หรือเป็นการแลกบ้านพักกันชั่วคราวของนักท่องเที่ยวที่มาจากคนละประเทศ ฉบับนี้จะได้กล่าวถึงการนำบ้านมาดัดแปลงให้เป็นโรงแรมหรือที่พักขนาดเล็กที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

บ้านไม้ 2 ชั้นที่มีบริเวณสวน ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกมักจะได้รับความนิยมมาก ถึงแม้จะอยู่ในซอยเล็กๆแต่ถ้ามีจุดขายที่ดีก็สามารถสร้างรายได้ไม่น้อยทีเดียว ส่วนมากเป็นบ้านของคุณปู่คุณย่า สร้างด้วยไม้ สามารถแบ่งเป็นห้องพักได้หลายห้อง ส่วนมากมีจำนวนห้องพักน้อยกว่า 10 ห้อง ไม่จำเป็นต้องมีห้องน้ำภายในห้องนอน สามารถจัดเป็นห้องน้ำรวมได้ แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต มีสวนเก๋ๆตกแต่งน่ารักมีสไตล์ และที่สำคัญมีร้านอาหารที่เป็นจุดเด่น ไม่จำกัดบริการเฉพาะคนที่มาพักเท่านั้น

บ้านดินสอ เป็นบ้านไม้เก่าอายุมากกว่า 80 ปีในซอยที่รถใหญ่เข้าไม่ถึง เมื่อได้รับการปรับปรุงให้ตัวอาคารมีความสมบูรณ์ มีลักษณะการตกแต่งที่คงไว้ซึ่งอารมณ์พื้นบ้าน และเชื่อมโยงการสำรองห้องพักกับ hostelling international ซึ่งเป็นช่องทางการสำรองห้องพักที่มีเครือข่ายทั่วโลก สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ได้มองหาโรงแรมที่เป็นเครือขนาดใหญ่ แต่ต้องการพบปะนักเดินทางด้วยกัน ท่องเที่ยวแบบประหยัดคุ้มค่าเงิน แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นแบบ backpacker ที่เน้นราคาถูกมากๆเท่านั้น ปัจจุบันบ้านดินสอได้เสริมกิจกรรมให้กับนักท่องเที่ยวหลายอย่างเช่น หลักสูตรทำอาหาร กิจกรรมตามเทศกาล เป็นต้น และได้รับรางวัลจากหลายสถาบันรวมทั้งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

พระนครนอนเล่นเคยเป็นหอพักหญิงมาก่อนและได้รับการปรับปรุงใหม่โดยเน้นแนว slow life และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีโทรทัศน์ ห้ามสูบบุหรี่ ปลูกผักกินเองและเพื่อใช้ประกอบอาหารให้กับลูกค้าในโรงแรม การตกแต่งห้องเป็นไปอย่างเรียบง่าย บรรยากาศเป็นแบบบ้านๆสบายๆ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวใจกลางเมือง

“chic 39 Bed & Breakfast” เป็นบ้านเดี่ยวที่ตกแต่งใหม่ด้วยสีสันที่จัดจ้าน น่าจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากทีเดียว ที่นี่เป็นบ้านไม้อายุเก่าแก่เช่นกัน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลก ปัจจุบันแบ่งส่วนสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวออกเป็น 4 ห้องนอน เน้นธรรมชาติเช่นกัน มีความได้เปรียบตรงที่มีพื้นที่กว้างราว 1 ไร่เต็มไปด้วยต้นไม้ ที่สำคัญตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าย่านสุขุมวิท

  บ้านจักรพงษ์ เป็นบ้านหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาอายุราว 100 ปีเช่นกัน มีบ้านพักหลายหลังแบบ villa และตกแต่งหลายสไตล์ เนื่องจากเป็นวังเก่าแก่ทำให้สิ่งแวดล้อมให้ความรู้สึกหรูหราและภาคภูมิ จึงเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงมากมาย เช่นงานเลี้ยงรับรองของบริษัทขนาดใหญ่ งานแต่งงาน สำหรับผู้ที่มาพักก็คงจะต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการที่พักที่ให้ความรู้สึกภูมิฐาน โอ่อ่า และได้บรรยากาศไทยๆที่หรูหรามากทีเดียว

“Imm Eco” ที่เชียงใหม่ก็เป็นการเอาบ้านเก่ามาปรับปรุงเป็นโรงแรมเช่นกัน อยู่ในลักษณะ hostel คือมีห้องพักขนาดใหญ่สำหรับลูกค้าหลายคน จ่ายค่าที่พักเป็นรายหัว ห้องพักเพียงแต่แยกชายหญิงเท่านั้น เหมาะสำหรับนักเดินทางที่แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยากพบปะผู้คนมากมาย เพราะในห้องพักเดียวกันผู้ที่มาพักอาจมาจากคนละมุมโลกเลยก็ได้ มีห้องสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน

บ้านใหม่ปลามัน ที่ปาย ให้ความรู้สึกดิบๆดีทีเดียว เป็นธรรมชาติไม่เสแสร้ง เป็นการดัดแปลงบ้านไม้เก่าในท้องถิ่นมาต้อนรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเหมาะสมมาก เปิดโอกาสให้ทั้งคนไทยและคนต่างชาติได้สัมผัสกับบรรยากาศพื้นถิ่น ใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นมาตกแต่งอย่างมีสไตล์สามารถอยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติได้อย่างไม่เคอะเขิน

ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ถือเป็นการนำเอาบ้านที่มีอยู่แล้วมาดัดแปลงเป็นโรงแรม สามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวตั้งแต่หลายร้อยบาทต่อคนต่อคืน จนถึงหลักหลายหมื่นต่อห้องต่อคืนได้ ที่สำคัญคือการตกแต่งให้มีสไตล์ที่โดดเด่นหรือเน้นสวนและต้นไม้ให้มีความเป็นธรรมชาติอย่างกลมกลืนกับตัวอาคาร การทำการตลาดอย่างแนบเนียน ใช้ทุนน้อยแต่ได้ผล เช่นได้ทำสกู๊ปในหนังสือท่องเที่ยว หนังสือตกแต่งบ้านและสวน รายการโทรทัศน์ที่แนะนำที่พักเก๋ๆ หรือทำการขายผ่านเว็ปไซต์ที่เหมาะกับลักษณะที่พักเฉพาะอย่าง เพื่อให้เจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ที่สำคัญคนรุ่นใหม่มองหาที่พักที่หลากหลายมากขึ้น ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเครือโรงแรมขนาดใหญ่ แต่เน้นที่พักที่บอกตัวตนเขาได้หรือตอบสนองความรู้สึกอบอุ่นที่โหยหา หรือแสวงหาประสบการณ์ใหม่ที่โรงแรมแบบเดิมๆไม่สามารถให้ได้

นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแปลงบ้านมาเป็นโรงแรม เป็นการสร้างธุรกิจที่มีลูกค้ารออยู่แล้ว

ที่มา: 
http://www.baandinso.com
http://www.phranakorn-nornlen.com
http://www.chic39.com
http://www.thaivillas.com
http://www.immhotel.com
http://www.pai-chai.com

Marketing 4C กับประเทศอินเดีย

โยคีที่ทางขึ้นเขาคิชกูฎ

          ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถาน 4 ตามเส้นทางแสวงบุญที่ประเทศอินเดียและเนปาล สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาตั้งอยู่ในชนบทของรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศคือรัฐพิหารและรัฐอุตตระประเทศ ในระหว่างการเดินทางนอกจากจะได้ปฏิบัติธรรมแล้วยังมีโอกาสได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวอินเดียและประชาชนแถบชายแดนของประเทศเนปาลอีกด้วย

          ผู้แสวงบุญหรือนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องพบกับกองทัพพ่อค้า (ไม่มีแม่ค้า!) อายุตั้งแต่ต่ำกว่า 10 ขวบไปจนถึงผู้เฒ่าสูงวัย เสนอสินค้าหลายอย่างตั้งแต่พวงมาลัย ดอกไม้ พระพุทธรูป เศียรพระ(ที่อ้างว่าเป็นของโบราณ) เบาะรองนั่ง(สำหรับนั่งสมาธิ) หนังสือ โปสการ์ด แผ่นซีดี ขนม อาหาร ไม่เว้นแม่แต่ธนบัตรใบละ 10 รูปี(ประมาณ 8 บาท) นอกจากนี้ยังมีบริการแปลกๆอีกหลายอย่าง เช่น เฝ้ารองเท้าให้นักท่องเที่ยว เก็บขยะไปทิ้งให้ หรือแม้แต่บริการเปิดน้ำก๊อกให้ แลกกับทิปเล็กๆน้อยๆ

          เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้เขียนคิดถึงหลักการตลาด 4C ซึ่งประยุกต์มาจากหลักการตลาด 4P ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี การตลาดแบบ 4P นั้นเป็นการทำการตลาดโดยให้ความสำคัญกับสินค้าเป็นหลัก เป็นการมองจากมุมของนักการตลาดที่มองออกไปสู่ลูกค้า แต่ปัจจุบันนักการตลาดได้ปรับทัศนคติและมุมมองให้ทันสมัยมากขึ้นโดย 4C ให้ความสำคัญที่ลูกค้าเป็นหลัก ทำอย่างไรสินค้าจึงจะเข้าไปมีบทบาทในชีวิตประจำวันของลูกค้าได้ มีอะไรเป็นแรงจูงใจ สื่อที่ต้องใช้คืออะไร  

          1. Consumer มาจากแนวคิดว่าเราจะไม่สามารถขายของที่เราผลิตได้ แต่เราสามารถขายของที่ผู้บริโภคหรือลูกค้าต้องการได้ เน้นไปที่ลูกค้าเป็นสำคัญ ในท้องถิ่นที่เราเดินทางไปไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นใดนอกจากสถานที่สำคัญทางศาสนา ไม่มีแหล่งช็อปปิ้ง ไม่มีความเจริญ และอยู่ในชนบทห่างไกล คนที่มาเยี่ยมเยือนจึงมีแต่ชาวพุทธที่มาแสวงบุญ ในช่วงที่เดินทางไปเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของชาวไทย ญี่ปุ่น และชาวไต้หวัน สิ่งที่ผู้แสวงบุญต้องการคือเครื่องสักการะบูชาพระพุทธเจ้า สิ่งที่พ่อค้าชาวอินเดียขายคือพวงมาลัยดอกดาวเรือง หรือดอกไม้จัดใส่จาน นอกจากนี้ที่มหาเจดีย์พุทธคยาที่มีมีชาวพุทธธิเบตมาแสวงบุญก็จะขายผ้าสีขาวผืนบางๆที่ชาวธิเบตใช้บูชาพระเหมือนที่ชาวไทยใช้ดอกไม้ เรียกได้ว่ารู้ใจลูกค้าเป็นที่สุด เสนอขายในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
          เวลาชาวพุทธเข้าวัดก็จะต้องถอดรองเท้า ก็จะมีผู้ชายอินเดียมายืนคอยจัดรองเท้าให้ เวลาปิดทองพระเสร็จก็จะยื่นมือมาขอเศษกระดาษเอาไปทิ้งให้ ให้บริการแนบเนียนราวกับเป็นผู้ดูแลวัด แต่ความจริงเขามาให้บริการเพื่อแลกกับเงินทิปจากนักท่องเที่ยวนั่นเอง เรียกว่าถูกที่ถูกเวลาจริงๆ

          2. Cost คือต้นทุนสินค้าที่ผู้ผลิตต้องตระหนักอยู่เสมอ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้ากัน แต่เป็นราคาที่ลูกค้าพอใจที่จะจ่าย และผู้ขายก็ยังสามารถเพิ่มคุณค่า (Value Added) ให้กับสินค้าได้อีกด้วย การเสนอราคาขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวที่อินเดียมักเริ่มต้นด้วยราคาที่น่าตกใจ คือสูงจนไม่กล้าต่อรอง แต่เมื่อไม่มีใครสนใจเขาก็ลดราคาลงมาเองเรื่อยๆจนลูกค้าได้ราคาที่พอใจจะซื้อก็จะจ่ายเงินให้ ราคานั้นอาจไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุดแต่เป็นราคาที่ลูกค้าพอใจที่สุดต่างหาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สารนาถ ซึ่งเป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา ในบริเวณสวนกว้างใหญ่มีนักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลกเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับเมืองพาราณสีที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ในสวนนั้นจะมีพ่อค้าชาวอินเดียแต่งกายค่อนข้างดีปะปนมากับนักท่องเที่ยว พอได้พูดคุยกันก็จะเปิดเสื้อออกแล้วโชว์เศียรพระพุทธรูปขนาดไม่เกินฝ่ามือให้ดู บอกว่าเป็นโบราณวัตถุ เป็นของ “ร้อน” นั่นแหละ แล้วเสนอราคาที่สูงมากๆราวกับเป็นของเก่าแท้ๆ นี่เป็นกลวิธีการเพิ่มมูลค่าสินค้าที่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเก่าหรือปลอมกันแน่ แต่ราคาน่าจะเป็นตัวชี้นำถึงมูลค่าของสิ่งของนั้นได้ นอกจากนี้ในสวนป่าอิสิปตนมฤคทายวันยังมีสวนกวางที่เลี้ยงไว้ให้เหมือนกับบรรยากาศในอดีต จะมีเด็กชายถือถุงแครอทที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วมาเสนอให้ พร้อมกับโชว์ว่าสามารถป้อนใส่ปากกวางได้ และเมื่อเราถามราคาเขาก็กลับให้เราเป็นผู้เสนอราคา และอาจมีการต่อรองให้ราคาสูงกว่านี้อีกเล็กน้อย ก็นับว่าเป็นกลวิธีที่น่าสนใจเพราะให้ลูกค้าเป็นผู้เรียกราคาก่อน และแน่นอนเป็นราคาที่ลูกค้าพอใจซึ่งอาจไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุดแต่เป็นราคาที่ดีที่สุดต่างหาก      

           3. Convenience ความสะดวกที่จะซื้อหา คือการเป็นยิ่งกว่าทำเลที่ตั้ง แต่ต้องอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการ ในขณะที่ผู้เขียนไปล่องเรือที่แม่น้ำคงคาเพื่อชมพิธีบูชาไฟในช่วงหัวค่ำ เราก็พบเรือลำเล็กที่พ่อค้าพายมาแนบกับเรือลำใหญ่ของเราพร้อมกับเสนอให้เราปล่อยปลา ในถังพลาสติกมีปลาตัวเล็กๆอยู่หลายสิบตัว ราคาที่เสนอขายก็แพงมากหากเทียบกับราคาปลาปล่อยของบ้านเรา แต่เพราะคนขายได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อทันท่วงที นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่ก็ซื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนขายตะโกนว่า “ทำบุญ-โชคดี” คล้ายๆกับเมื่อพ่อค้าหัวใสพยามยัดเยียดจานกระดาษใส่ดอกดาวเรืองและกุหลาบกลิ่นหอมใส่มือของพวกเราโดยบอกว่าเอาไปทำบุญ เราเดินทางมาไกลถึงอินเดียและไม่มีพวงมาลัยดอกไม้ติดมือมาด้วย มาถึงขั้นนี้แล้วเท่าไรก็เท่ากัน เพราะคนขายช่างมาเสนอสินค้าได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ
          ในทุกสถานที่ที่เราไปจะพบขอทานจำนวนมาก สิ่งที่พวกเขาขอคือ สิบรูปี ซึ่งเป็นธนบัตรที่เราไม่สามารถหาแลกได้ในเมืองไทย เมื่อเราไม่มีแบงค์ย่อยเราก็ต้องแลก ทันใดนั้นก็จะมีพ่อค้าหัวใส(อีกแล้ว) เสนอธนบัตรสิบรูปีใหม่เอี่ยมทั้งปึก 100 ใบคือ 1,000 รูปีมาให้แลกพร้อมกับบอกว่า 800 บาท ซึ่งก็แพงกว่าที่แลกจากเมืองไทยเล็กน้อย นักแสวงบุญส่วนใหญ่ก็แลกด้วยเพราะว่าจะได้มีแบงค์ย่อยแจกขอทานที่มาขอเงินเรา

           4. Communication การสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ หมายรวมถึงการส่งเสริมการขาย (ลดแลกแจกแถม) การใช้พนักงานขาย การแสดงสินค้า กลวิธีต่างๆที่พ่อค้าชาวอินเดียเสนอขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวนั้นต้องยกนิ้วให้ แบบที่ภาษาวัยรุ่นเรียกว่าเป็นฉบับ “ตัวพ่อ” เลยทีเดียว ครั้งหนึ่งที่เมืองกุสินารา เรากำลังเดินเข้าสู่สาลวโนทยาน เพื่อสักการะสถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไม่มีใครในคณะของเราซื้อพวงมาลัยเลย พ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาที่คณะของพระสงฆ์แล้วบอกว่าให้ฟรี แล้วก็ถวายให้พระ 4 รูปๆละพวง แล้วก็เดินไปชี้ให้พระสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งดูบอกว่าเห็นไหมกลุ่มนั้นมีพวงมาลัยแล้ว! ในที่สุดทั้งพระสงฆ์และฆารวาสส่วนใหญ่ก็ซื้อพวงมาลัยตามอย่างพระกลุ่มแรก โดยที่ไม่รู้เลยว่า 4 รูปแรกได้พวงมาลัยแบบเป็นโปรโมชั่น ไม่เสียสตางค์ซักแดงเดียว 
          
           จุดเด่นอีกเรื่องหนึ่งก็คือการนำเสนอสินค้าโดยไม่คิดแทนลูกค้าว่าอยากได้หรือไม่ สนใจหรือไม่ พ่อค้าทุกวัยจะวิ่งเข้าหาลูกค้า หรือไม่ก็ส่งสายตาและรอยยิ้มเชิญชวนให้พวกเราสนใจในสินค้าของเขา เรียกว่ามีวิญญานของนักธุรกิจจริงๆ บางครั้งเพราะรอยยิ้มแท้ๆที่ทำให้เราเดินเข้าไปดูสินค้าในแผงลอยเล็กๆของเขาเพื่อซื้อขนมแจกเด็กๆที่มาขอของแจกจากเรา หรือซื้อขนมรสชาติแปลกๆถุงเบ้อเริ่อเพื่อชิมแค่คำเดียว   

          การใช้หลักการตลาดอย่างแยบยลของบรรดาพ่อค้าชาวอินเดียเป็นเรื่องที่สนุกสนานมาก ในช่วงแรกหลายคนอาจตกใจ หรือโกรธที่พลาดท่าตกเป็นเหยื่อซื้อสินค้าราคาแพง แต่พอเริ่มชินก็เริ่มสนุก คนขายก็มีกลเม็ดมากมาย คนซื้อก็ฉลาดรู้เท่าทัน กลายเป็นการซื้อขายที่มีสีสันและสนุกสนานเหมือนได้เล่นเกมส์กันทุกครั้งที่ลงจากรถ ไม่ว่าพ่อค้าเหล่านั้นจะรู้จักหลักการตลาด 4C หรือไม่ กลยุทธ์การค้าขายของพวกเขาก็แสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นพรสวรรค์ สามารถเรียนรู้ความต้องการของผู้บริโภค และตอบสนองด้วยสินค้าและบริการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ผู้เขียนยังนึกถึงเสมอ

แปลงบ้านมาเป็นโรงแรม

หากเราเคยดูภาพยนต์เรื่อง The Holiday ที่นำแสดงโดย เคท วินสเลท ซึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษ ทำการสลับบ้านกับคามิลอน ดีแอซ ที่อยู่ในลอสแองเจิลลีส โดยที่ทั้งสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วเรื่องราวก็นำไปสู่ความรักระหว่างหนุ่มอเมริกันกับสาวอังกฤษที่ยังคงความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วโลก ภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้เว็ปไซต์ประเภท HomeExchange.com เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลในการค้นหาที่พักยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทันที
ในยุคที่ผู้คนมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เป็นคู่มือในการค้นหาคำตอบทุกเรื่อง แม้แต่จะไปเที่ยวก็ยังต้องค้นหาที่พักในอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่แค่หาโรงแรมหรือรีสอร์ตที่สวยงามถูกใจ แต่ยังต้องหา Review หรือการแสดงความเห็นของคนที่เคยมาพักอยู่ก่อนว่าชอบหรือไม่ มีข้อดีข้อด้อยอะไรบ้าง แนะนำให้มาพักที่นี่หรือไม่ นอกเหนือไปจากหาช่องทางการจองที่ได้ราคาถูกที่สุดหรือเงื่อนไขการจองที่ดีที่สุดด้วย
ในมุมมองของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของโรงแรมแต่มีทุนน้อยก็สามารถทำความฝันนี้ให้เป็นจริงได้ เพียงแค่ทำการแปลงบ้านที่มีอยู่ให้เป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง สรรหาสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้พร้อม จากนั้นก็ถ่ายรูป สร้างเว็ปไซต์ของตัวเอง แล้วก็ทำการตลาดโดยการฝากขายผ่านช่องทางการจองห้องพักที่ดังๆทั้งหลาย เช่น agoda.co.th หรือ HotelsGuideThailand.com เท่านั้นก็เป็นอันเรียบร้อย หากลักษณะบ้านของเรามีความโดดเด่นมากๆก็ควรนัดให้หนังสือตกแต่งบ้าน หนังสือท่องเที่ยว หรือรายการโทรทัศน์ทั้งหลายมาทำสกู๊ปให้ ท่านก็จะมีช่องทางประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
แค่นี้โรงแรมในฝันก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว 


สวัสดีค่ะ

สวัสดีค่ะ

Danaiya Inspire ได้เปิดพื้นที่ Blog นี้เพื่อรวบรวมความคิด, ไอเดีย, และเทคนิคในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs ให้ท่านที่สนใจในการเริ่มต้นธุรกิจ หรือผู้ที่มีธุึรกิจอยู่แล้วมีช่องทางในการเรียนรู้ได้มากขึ้น รวดเร็ว และ Update ข้อมูลที่ทันสมัยมากขึ้น

บทความต่างๆมาจากความรู้ ประสบการณ์ที่ได้พบด้วยตนเอง ความเห็นที่ได้ให้ในการเป็นที่ปรึกษา หรือจากการเป็นอาจารย์ ก็นำมารวบรวมไว้ในที่นี้เช่นกัน

เพื่อความสำเร็จของทุกท่านค่ะ

Danaiya Inspire